ที่พระนารายณ์ หรือแหล่งโบราณคดีที่พระนารายณ์ ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำตะกั่วป่าตรงข้ามกับแหล่งโบราณคดีเขาพระนารายณ์ (อยู่ทางทิศเหนือของแหล่งโบราณคดีเขาพระนารายณ์) ปัจจุบันเป็นเขตพื้นที่การปกครองหมู่ที่ 2 ตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา มีพื้นที่ประมาณ 22 ไร่ ห่างจากถนนสาย 401 ตะกั่วป่า – สุราษฎร์ธานี ระหว่างกิโลเมตรที่ 132 – 133 ประมาณ 50 เมตร ที่พระนารายณ์ หรือแหล่งโบราณคดีที่พระนารายณ์ ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำตะกั่วป่าตรงข้ามกับแหล่งโบราณคดีเขาพระนารายณ์ (อยู่ทางทิศเหนือของแหล่งโบราณคดีเขาพระนารายณ์) ปัจจุบันเป็นเขตพื้นที่การปกครองหมู่ที่ 2 ตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา มีพื้นที่ประมาณ 22 ไร่ ห่างจากถนนสาย 401 ตะกั่วป่า – สุราษฎร์ธานี ระหว่างกิโลเมตรที่ 132 – 133 ประมาณ 50 เมตร แหล่งโบราณคดีที่พระนารายณ์แห่งนี้ เดิมเคยเป็นที่ประดิษฐานของเทวรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ 3 องค์ คือพระนารายณ์ และเทพบริวารอีก 2 องค์ คือฤๅษีมารกัณเฑยะ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าพระลักษมณ์องค์หนึ่ง และนางภูเทวี ที่ชาวบ้านเรียกว่า นางสีดา อีกองค์หนึ่ง รวมทั้งศิลาจารึกหลักที่ 26 (ศิลาจารึกเขาพระนารายณ์) มีเรื่องเล่าว่าในปี พ.ศ. 2328 คราวสงครามเก้าทัพ พม่าได้ไปพบพระนารายณ์และเทพบริวารบนเขาพระนารายณ์ จึงขนย้ายลงมาเพื่อจะนำไปยังเมืองพม่า แต่เกิดเหตุอัศจรรย์ทำให้พม่าไม่สามารถนำไปได้ จึงยกเทวรูปทั้ง 3 องค์ มาวางพิงต้นตะแบกไว้ จนกระทั่งตนไม้ขึ้นหุ้มเทวรูปจนเกือบมิด ชาวบ้านจึงเรียกที่ตรงนี้ว่า “ที่พระนารายณ์” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จไปทอดพระเนตรเทวรูปพระนารายณ์และเทพบริวาร เมื่อวันที่ 22 เมษายน ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2452) และทรงบันทึกไว้ว่า “สิ่งสำคัญที่เสด็จไปทอดพระเนตรวันนี้ คือพระนารายณ์ เทวรูป ซึ่งตั้งอยู่บนเนินที่ทำพลับพลาประทับร้อน เทวรูปมีอยู่ 3 องค์ เป็นรูปพระนารายณ์ตั้งอยู่กลาง ข้างขวามือมีเป็นรูปเทพธิดานั่ง ซึ่งบางทีจะเป็นพระลักษมีข้างซ้ายมือมีอีรูปหนึ่ง แปลไม่ออกว่าเป็นรูปพระเป็นองค์เจ้าใด เทวรูปทั้ง 3 นี้ทำด้วยศิลา สลักเครื่องทรงดูเป็นอย่างแบบข้างอินเดียแท้ จึงเข้าใจว่าคงจะเป็นนายช่างข้างฝ่ายมัชฌิมประเทศเป็นผู้ทำ หรืออย่างน้อยก็เป็นผู้ให้อย่าง เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่าชาวมัชฌิมประเทศได้ออกมาตั้งเป็นคณะอยู่ที่นี้ จะสืบเอาเรื่องราวก็ไม่ได้กี่มากน้อย คงได้ความแต่ว่าเทวรูปนี้เดิมอยู่บนเขาเวียง บนนั้นยังมีฐานก่อด้วยอิฐปรากฏอยู่ ครั้นพม่ามาตีเมืองไทยได้ลงมาที่เขาเวียง ยกเทวรูปลงมาได้ถึงที่เนินนี้ ตั้งใจจะนำลงไปทางแม่น้ำ เผอิญเกิดฝนตกลงมาเป็นห่าใหญ่ พม่าจึงต้องทิ้งเทวรูปไว้ หนีเอาตัวรอด และโดยเหตุที่พม่าได้ให้หลังที่ตรงนี้ จึงได้เรียกนามตำบลว่าหลังพม่าต่อมา รูปพระนารายณ์ในเวลานี้ต้นตะแบกได้ขึ้นหุ้มห่อไว้เสียหน่อยหนึ่ง ชะรอยจะมีผู้พิงทิ้งไว้กับต้นตะแบกตั้งแต่ยังอ่อน ๆ ครั้นต้นไม้นั้นโตขึ้นจึงเลยขึ้นหุ้มเทวรูป น่าเสียดายที่สืบข้อความสาวขึ้นไปได้สั้นนัก ที่ริมรูปนั้นมีศิลาแผ่นหนึ่งมีตัวอักษรจารึก แต่อ่านไม่ออกว่าเป็นหนังสืออะไร ไม่ใช่หนังสือไทย และไม่ใช่หนังสืออย่างที่จารึกคาถาเยธัมมาที่พระปฐมเจดีย์ ศิลาแผ่นนี้ราษฎรถือกันว่าถ้ายกฝนเป็นต้องตก วันนี้คงจะมีใครยกเป็นแน่ เพราะพอเสด็จถึงพลับพลาสักครู่หนึ่งฝนก็ตก อยู่ข้างจะศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง แต่เพราะไม่มีใครได้พยายามจะยกพระนารายณ์ไป ฝนจึงไม่ตกจนน้ำท่วมอย่างครั้งพม่ายก” สำหรับเทวรูปที่เรียกว่านางสีดาที่คนร้ายลักขโมยไปนั้น ปรากฏว่าคนร้ายได้เอาไปสกัดเอาเฉพาะพระพักตร์ไป แล้วทิ้งทั้งองค์ไว้ที่หนองน้ำ บางพระนารายณ์ ห่างออกมาจากที่พระนารายณ์ประมาณ 50 เมตร ต่อมาในหน้าแล้งชาวบ้านได้ไปหาปลาพบ เมื่อเดือนมีนาคม 2510 จึงนำไปเก็บไว้ที่วัดนารายณิการาม ตำบลเหล อำเภอกะปง จนบัดนี้ เทวรูปนางภูเทวี ศิลาจารึกเขาพระนารายณ์ จากข้อความในศิลาจารึกพอสรุปได้ว่า มีเจ้าเมืองคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวทมิฬฮินดูแห่งโจฬะอินเดียใต้ ได้มาตั้งเมืองแห่งหนึ่งขึ้น ณ บริเวณเมืองตะกั่วป่าบัดนี้ ชื่อเมือง “นังคูร” ได้โปรดให้ขุดสระน้ำประจำเทวสถานขึ้น เพื่อใช้ในพิธีพราหมณ์ตามธรรมเนียม และให้อยู่ในความดูแลรักษาของบรรดาเหล่าทหาร และราชวงศ์เครือญาติชาวทมิฬ ฮินดู ตลอดจนชาวนาชาวไร่ทั่วไปที่ตั้งชุมชนอยู่เหล่านั้นเอง
ในระหว่างที่มีการตัดถนนสาย 401 ตะกั่วป่า – สุราษฎร์ธานี ซึ่งผ่านเข้าไปใกล้บริเวณที่ประดิษฐานของเทวรูปพระนารายณ์มาก ทำให้คนต่างถิ่นพบเห็นมากขึ้น จนกระทั่งในวันที่ 28 มีนาคม 2509 ได้มีคนร้ายลักลอบเอาเทวรูปนางภูเทวี (นางสีดา)ไป และต่อมาในวันที่ 14 เมษายน ปีเดียวกัน คนร้ายได้สกัดเอาเศียรพระลักษมณ์และพระพักตร์พระนารายณ์ไปอีก ทางจังหวัดพังงาจึงรายงานให้กรมศิลปากรรับทราบ และวันที่ 9 สิงหาคม 2509 เจ้าหน้าที่หน่วยศิลปากรที่ 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้นำเทวรูปพระนารายณ์ พระลักษมณ์ และศิลาจารึกไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช อยู่ระยะหนึ่ง และปัจจุบันได้ย้ายไปจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง ภูเก็ต
ในเดือนกรกฎาคม 2516 กรมศิลปากรได้ติดต่อขอรับชิ้นส่วนพระพักตร์นางสีดา จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เทวรูปพระนารายณ์ เทพบริวาร และศิลาจารึก
เทวรูปพระนารายณ์และเทพบริวาร เป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ 1 ใน 3 องค์ ที่เรียกว่า “ตรีมูรติ” คือเทพเจ้า 3 องค์อันได้แก่ พระพรหม เชื่อว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งในโลก พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เป็นผู้ทำหน้าที่รักษาโลก ชาวฮินดูนิกายไวษณวะ ยกย่องว่าพระนารายณ์เป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวง และพระศิวะหรือพระอิศวร เป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้นับถือนิกายไศว เทวรูปพระนารายณ์และเทพบริวารที่เขาพระนารายณ์ ในอำเภอกะปงนี้ เป็นลักษณะศิลปะของอินเดียตอนใต้ในสมัยที่ราชวงศ์ปัลลวะปกครอง จึงเรียกชื่อศิลปะนี้ว่า ศิลปะแบบปัลลวะ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นประมาณตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 13 หรือต้นพุทธศตวรรษที่ 14 จากผลการทดสอบทางธรณีวิทยา (โดยอาจารย์ศรีโสภา มาระเนตร กรมทรัพยากรธรณี) พบว่าเทวรูปทั้ง 3 องค์ แกะสลักจากหินtuffacous sandstone หรือหินทรายละเอียดเกิดจากหินเถ้าภูเขาไฟ ไม่ใช่ทำจากหินชีสต์ตามที่เข้าใจกันมาก่อน หินชนิดนี้มีอยู่ในบริเวณอำเภอกะปง และมีร่องรอยการสกัดหินมาแกะสลัก เทวรูปทั้ง 3 องค์นี้สร้างขึ้นประจำชุมชนโบราณ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเขาพระนารายณ์นี้ ส่วนแผ่นหินที่จารึกเป็นภาษาทมิฬนั้นเป็นหินดินดาน (shale)
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ชาวอินเดียทางตอนใต้ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและเผยแพร่อารยธรรมในบริเวณนี้มาเป็นเวลาช้านานแล้ว รวมทั้งใช้เป็นเส้นทางลัดข้ามแหลมมลายู โดยใช้แม่น้ำตะกั่วป่า และคลองสก
เทวรูปพระนารายณ์
เทวรูปพระนารายณ์ คือพระวิษณุปางมัธยมโยคะสถานกมูรติ (ปางบำเพ็ญโยคะ) 4 กร ประทับยืน เป็นประติมากรรมลอยตัว ขนาดสูง 235 กว้าง 85 เซนติเมตร หนา 25 เซนติเมตร ลักษณะ พระวรกายสมส่วน บั้นพระองค์คอด พระโสภีพาย พระพักตร์สี่เหลี่ยม พระเนตรมองตรง พระนาสิกใหญ่ พระโอษฐ์หนา พระหัตถ์ขวาหลังหักหายไป พระหัตถ์ขวาหน้าแสดงปางประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายหลังหักหายไป พระหัตถ์ซ้ายหน้าทรงท้าวที่พระโสณี ทรงสวมกีรีฏมุกุฏทรงสูงสอบเข้าทางด้านบนประดับด้วยลายวงแหวน ทรงพระภูษาโจงกรอมข้อพระบาทจีบเป็นริ้วและขมวดเป็นปมชักชายขึ้นด้านบน และคาดรัดประคตซึ่งตกแต่งด้วยสายลูกประคำทับ คาดผ้าคาดพระโสณีตามแนวนอนซึ่งผูกเป็นโบที่พระปรัศว์แล้วคาดผ้ารูปโค้งที่ต้นพระเพลา ตกแต่งพระวรกายด้วยกรองศอ พวงประคำ พาหุรัด ทองพระกร และพระธำมรงค์ พร้อมกับทรงคาดสายยัชโญปวีตทับสายอุทรพันธะ กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478
เทวรูปฤๅษีมารกัณเฑยะ
ฤๅษีมารกัณเฑยะ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พระลักษมณ์ เป็นประติมากรรมลอยตัว ในลักษณะประทับนั่งคุกเข่าขวา ชันเข่าซ้าย ยกพระหัตถ์ซ้ายระดับพระเศียร พระหัตถ์ขวาลดมาทับพระโสณี ทรงสวมกีรีฏมุกุฏทรงสูงสอบเข้าทางด้านบนประดับด้วยลายวงแหวนเหมือนเทวรูปพระนารายณ์ ขนาดสูง125 เซนติเมตร
กว้าง 77 เซนติเมตร หนา 25 เซนติเมตร กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478
นางภูเทวี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า นางสีดา นางภูเทวีทรงเป็นพระชายาองค์หนึ่งของพระวิษณุทรงเป็นเทพีแห่งปฐพีเป็นผู้ดูแลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ เป็นเทวรูปสตรีประทับนั่งคุกเข้าซ้ายชันเข่าขวาในลักษณะท่าทางตรงกันข้ามกับเทวรูปฤษีมารกัณเฑยะ ทรงสวมกรัณฑมุกุฎ เป็นประติมากรรมลอยตัว ขนาดความสูง 115 เซนติเมตร หนา 75 เซนติเมตรชาวบ้านเล่าว่าครั้งหนึ่งช้างป่าตกมันใช้งาแทงที่พระถันด้านซ้ายเทวรูปนางภูเทวีหักไป เป็นเทวรูปใน กลุ่มนี้องค์เดียวที่ยังเก็บรักษาอยู่ท้องที่ อำเภอกะปง ที่วัดนารายณิการาม ตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478
ศิลาจารึกเขาพระนารายณ์ หรือศิลาจารึกหลักที่ 26 มีขนาดกว้าง 55 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร ทำจากหินดินดาน (shale) สันนิษฐานว่าจารึกในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 – 14 H.W.Bourke เป็นคนแรกที่พบที่เขาพระนารายณ์ ใน พ.ศ. 2445 และพระสารศาสตร์พลขันธ์ (G.E. Gerini) ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ให้ชาวโลกรู้จักเป็นครั้งแรกในปี 2447 ศิลาจารึกหลักนี้จารึกเป็นภาษาทมิฬแบบโบราณจำนวน 6 บรรทัด ศาสตราจารย์ Hultzsch สามารถอ่านจารึกนี้ได้เป็นคนแรก ได้ดังนี้
บรรทัดที่ 1 …รวรฺมนฺ กุ (ณ)…
บรรทัดที่ 2 (มา) า นฺ ตานฺ นงฺคูร ไฑ…
บรรทัดที่ 3 (ตฺ) โตฏฺฏ กุฬมฺ เปรฺ ศฺรี (อวนิ)
บรรทัดที่ 4 นารณมฺ มณิกฺ กิรามตฺ ตารฺ (ก)
บรรทัดที่ 5 (กุ) มฺ เศณามุคตฺตารฺกฺกุมฺ
บรรทัดที่ 6 (มุฬุ) ทารฺกฺกุมฺ อไฑกฺ กลมฺ
แปลความว่า “สระชื่อ ศรี (อวนิ) นารณัม ซึ่ง…….รวรรมัน ศุ (ณ) ….(ม)
าน ได้ขุดเองใกล้ (เมือง) นังคูร อยู่ในการรักษาของสมาชิก
แห่งเมืองมณิคราม และของกองหน้ากับชาวไร่ชาวนา”
กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478