
เรือถลาง
หน้าเกาะคอขาว
วันที่ ๒๓ เมษายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๘
วันนี้การเที่ยวอยู่ข้างจะรู้สึกฟกมากกว่าเมื่อวานนี้ เห็นจะเป็นเพราะอยู่จะร้อนจัด และอีกประการหนึ่งการไปดูอะไร ๆ ก็ไม่สู้จะได้เนื้อนัก คือของที่ได้ดูอยู่ข้างจะไม่พอเพียงกับเวลาที่เสียไปสักหน่อย
เมื่อเช้านี้ถ้าได้เสด็จออกจากที่ประทับแรมเสียได้แต่เช้า ๆ ก็จะไม่สู้กระไรนัก แต่ก็เป็นการจำเป็นที่จะต้องเสด็จสาย เพราะเวลาน้ำขึ้นบังคับอยู่ ต้องประทับรออยู่จนเวลา ๔ โมงแล้วจึงเสด็จออกหน้าพลับพลา พวกบุตรหญิงพระยาเสนานุชิตเก่ากับหญิงชาวเมืองได้พากันมาเฝ้าถวายของต่าง ๆ ทรงรับของที่พวกผู้หญิงแล้ว พระเสนานุชิตได้อ่านคำกราบบังคมทูลสำแดงความยินดีในนามของพ่อค้าเมืองตะกั่วป่าและนำรูปช้างทำด้วยเงินถวายเพื่อเป็นที่ทรงระลึกถึงการที่เสด็จมาประพาสถึงเมืองตะกั่วป่า มีพระดำรัสตอบตามสมควรแล้ว เสด็จโดยกระบวนเก้าอี้หามไปลงเรือที่ท่าเดิม
เรือถลาง
หน้าเกาะคอขาว
วันที่ ๒๓ เมษายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๘
วันนี้การเที่ยวอยู่ข้างจะรู้สึกฟกมากกว่าเมื่อวานนี้ เห็นจะเป็นเพราะอยู่จะร้อนจัด และอีกประการหนึ่งการไปดูอะไร ๆ ก็ไม่สู้จะได้เนื้อนัก คือของที่ได้ดูอยู่ข้างจะไม่พอเพียงกับเวลาที่เสียไปสักหน่อย
เมื่อเช้านี้ถ้าได้เสด็จออกจากที่ประทับแรมเสียได้แต่เช้า ๆ ก็จะไม่สู้กระไรนัก แต่ก็เป็นการจำเป็นที่จะต้องเสด็จสาย เพราะเวลาน้ำขึ้นบังคับอยู่ ต้องประทับรออยู่จนเวลา ๔ โมงแล้วจึงเสด็จออกหน้าพลับพลา พวกบุตรหญิงพระยาเสนานุชิตเก่ากับหญิงชาวเมืองได้พากันมาเฝ้าถวายของต่าง ๆ ทรงรับของที่พวกผู้หญิงแล้ว พระเสนานุชิตได้อ่านคำกราบบังคมทูลสำแดงความยินดีในนามของพ่อค้าเมืองตะกั่วป่าและนำรูปช้างทำด้วยเงินถวายเพื่อเป็นที่ทรงระลึกถึงการที่เสด็จมาประพาสถึงเมืองตะกั่วป่า มีพระดำรัสตอบตามสมควรแล้ว เสด็จโดยกระบวนเก้าอี้หามไปลงเรือที่ท่าเดิม
การเสด็จโดยทางเรือวันนี้ก็คล้าย ๆ กับวันเสด็จขึ้นไป ทรงเรือมาดแจว เรือยาวพายลากลงไปจนถึงวังบรา พ่วงเรือไฟทั้งเรือที่นั่งและเรือตามเสด็จ น้ำขึ้นเชี่ยวมาก และเรือกลไฟของเมืองระนองนั้นก็อยู่ข้างชราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรือที่พ่วงต้องช่วยแจวกระดิก ๆ ไปด้วย ล่องลงมาถึงที่สองแพรก แยกไปข้างซ้าย เวลาบ่าย ๒ โมงถึงปากคลองเหนอ ฝั่งซ้ายแห่งแม่น้ำ คลองนี้เล็กและตื้น แม้แต่เรือเล็ก ๆ ก็เข้าไปไม่ได้จึงต้องขึ้นที่ปากคลอง แล้วเดินต่อไปในลำคลอง เดินในลำคลองจริง ๆ ไม่ใช่ริม ๆ แต่ผมต้องรีบบอกเสียในที่นี้ว่า ไม่ได้ลุยโคลนจั้บแจ๊ะไปเพราะเขาทำตะพานไปตลอดลำคลองจนถึงพลับพลาที่ประทับร้อนที่เชิงเขาพระเหนอ เครื่องกลางวันที่นี้ นายซุ่นฮวดกำนันเป็นผู้จัดถวาย มาซ้ำวันนี้เข้าอีกดูไม่ใคร่ขันเหมือนเมื่อวานนี้ ตามความจริงกำนันแลผู้ใหญ่บ้านที่จัดเครื่องถวายทั้ง ๒ วันนี้ ไม่ใช่กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านชนิดที่เข้าใจกันโดยมาก ตามความเข้าใจกันโดยมากว่า กำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นบุคคลชนิดนุ่งผ้าสีน้ำเงินสวมเสื้อสีน้ำตาลมีบั้งขาว ๆ ติดที่แขนและเป็นชาวนาเป็นพื้น แต่กำนันผู้ใหญ่บ้านเมืองตะกั่วป่านี้ไม่เป็นเช่นนั้นเลย มักเป็นจีนเกิดในเมืองไทย และเป็นพ่อค้าหรือนายเหมือง จึงเป็นผู้มีเงินอยู่บ้าง การที่จะจัดเลี้ยงจึงไม่สู้ประหลาดอะไรนัก
พระเหนอ
เขาพระเหนอ
สถานที่ตั้งพลับพลาประทับเชิงเขาพระเหนอ
บนยอดเขาพระเหนอ กำลังปรับแต่งเพื่อวางเทวรูป (พฤษภาคม 2555)
เสวยแล้วเสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรพระนารายณ์เทวรูปบนยอดเขาพระเหนอ เทวรูปองค์นี้ทำด้วยศิลาทราย บัดนี้หักเสียเป็นสองท่อน หักเฉพาะที่เอว ถ้าไม่หักคงจะสูงราว ๕ ศอก เครื่องสนิมพิมพาภรณ์ไม่วิจิตรเหมือนองค์ที่เขาเวียง แต่ฝีมือทำกล้ามเนื้อดีเหมือนคน เทวรูปนี้ยืนอยู่กลางฐานใหญ่ก่อด้วยอิฐแผ่นใหญ่ ซึ่งให้เห็นได้ว่าคงจะเป็นศาลหรืออะไรสักอย่างหนึ่ง แต่เรื่องราวอะไรก็สืบไม่ได้
จากที่คลองเหนอได้ทรงเรือเสด็จไปขึ้นทอดพระเนตรทุ่งตึกซึ่งอยู่ในเกาะคอขาว ตรงกันข้ามกับที่ตั้งเมืองใหม่ ที่นี้ไม่มีอะไรดูนอกจากเนินดิน ขุดลงไปพบอิฐแผ่นใหญ่ ๆ ชนิดเดียวกับที่เห็นอยู่บนยอดเขาพระเหนอ กับมีศิลาแบน ๆ สองแผ่น ตัดเป็นรูปกลมมีเป็นรูสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง จะใช้สำหรับอะไรก็ไม่ทราบ บางทีที่นี้จะเนื่องกับเทวรูปที่คลองเหนอ คืออาจจะเป็นเทวสถานอีกอันหนึ่งของคณะเดียวกันก็ได้ แต่ครั้นผมจะเดาอะไรไปมากมายต่อไปอีก ผมก็เกรงจะถูกหาว่ากุ เพราะฉะนั้นผมของดไว้ทีดีกว่า
ที่ทุ่งตึกนี้มีนายเหมืองผู้หนึ่งได้ไปจัดน้ำชาเลี้ยง เมื่อเสด็จออกจากที่ท่าทุ่งตึกนั้นเวลาบ่ายมาก ใกล้ย่ำค่ำแล้ว น้ำลงมากเรือต้องเดินมาช้า ๆ จนเวลา ๒ ทุ่มจึงถึงเรือถลางนี้
ซากโบราณสถานที่ทุ่งตึก
ผมมีความเสียใจที่จะต้องเล่าว่า ที่อำเภอตลาดใหญ่ได้มีพวกที่ตามเสด็จได้ไปป่วยลงหลายคน นายกระบืออ่อนได้ประเดิมโรงก่อนแต่เมื่อเย็นวันที่ ๒๑ ท้องร่วงไป พอวันรุ่งขึ้นมีผู้ท้องร่วงตามไปอีกเป็นหลายคน เมื่อวานนี้แสงอาทิตย์ตามเสด็จไป พอถึงพลับพลาประทับร้อนที่เขาเวียงบ่นว่าปวดศีรษะ กลับไปถึงพลับพลาตลาดใหญ่ก็ลงนอนจับไข้ทันที พอข่าวแพร่หลายไปว่าพ่อแสงอาทิตย์จับไข้ คนอื่น ๆ ให้เกิดรู้สึกปวดศีรษะครั่นตัวขึ้นมาบ้างหลายคน ที่ตะกั่วป่าเขาลือกันว่าไข้และโรคท้องร่วงอยู่ข้างดุ คงมีผู้ทราบคำลือนี้กันอยู่บ้าง ใครที่ใจเสาะหน่อยก็เลยเจ็บจริง พ่อแสงอาทิตย์เลยไม่ได้ตามเสด็จประพาสวันนี้ผมมาพบที่เรือนี้ถามข่าวก็ดูยังบอกป่วยอยู่ เสียแรงเป็นยักษ์ทั้งทีอย่างไรจึงผิวบางไปได้
ผมมีเรื่องอยู่ข้างจะน่าขัน ซึ่งผมได้ฟังเขาเล่ากันขึ้นเมื่อคืนนี้ คือคุณพันตรีราชองครักษ์ ที่นอนห้องเดียวกับหม่อนดอกเทียน ได้ยินหม่อมดอกเทียนละเมอเมื่อคืนวานนี้พูดดัง ๆ ว่า “จะไปจูบแจบอะไรมันได้ แก้มแข็งราวกับเชือกมะนิลา” น่าอัศจรรย์แท้ ๆ นี้ช่างไปนึกเอาเชือกมะนิลามาเปรียบกับแก้มผู้หญิงได้ ให้ผมนั่งตรองอยู่ ๗ วัน ก็คงนึกเปรียบอะไรให้แปลกอย่างนั้นไม่ได้เป็นอันขาด ตามตัวหม่อมดอกเทียนดูเองก็ไม่ยอมชี้แจง ผมยิ่งนึกไปก็ยิ่งขัน เก็บเอาไปนอนตรองไปตรองมา เลยแต่กลอนกล่อมขึ้นได้บทหนึ่งสำหรับร้องเข้ากับลำพัดชา ดังต่อไปนี้
“สายสมรนอนเถิดพี่จะกล่อม เจ้างามจริงพริ้งพร้อมดังเลขา ปรางค์แข็งแข่งเชือกมะนิลา พักตร์โสภาอาคแลมป์แจ่มธานินทร์ งามเนตรดังเนตรเปรตวันทอง งามขนงวงสองเหมือนชามบิ่น อรชรอ้อนแอ้นดังงูดิน แร้งถวิลมิได้เว้นเวลาเอย”
บทกลอนนี้ถึงผมเองแต่งก็รู้ว่าไม่สู้ดี คือการเปรียบเทียบยังสู้หม่อมดอกเทียนไม่ได้ แพ้กันหลุดลุ่ยทีเดียว ผมไม่ใช่คนที่หลงตื่นตัวเองจนไม่รู้สึกความบกพร่องของตน เมื่อแพ้ผมก็ยอมอย่างราบคาบ แต่ผมไม่ยอมแพ้คนเดียว ผมท้าให้คนอื่นนึกหาสิ่งเปรียบเทียบกับแก้มผู้หญิงให้เก่งกว่าเชือกมะนิลา ถ้าใครนึกออกดีกว่านั้น ผมยอมรางวัลให้สองอัฐฬศ
เรียบเรียงโดย อาจารย์ วิมล โสภารัตน์