นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่  8  เป็นต้นมา  เมืองตะโกลา ได้พัฒนาเป็นเมืองท่าจอดเรือที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด   ทางด้านชายฝั่งทะเลตะวันตก  เป็นที่รู้จักกันดีของบรรดาชาติต่าง ๆ หลายชาติ  เช่น  อินเดีย  จีน  เปอร์เชีย  อาหรับ  รวมทั้งกรีกและโรมันในทวีปยุโรป    ชาติเหล่านี้ได้เข้ามาติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน  และเป็นสถานที่จอดแวะพักเรือเพื่อเติมเสบียงอาหารและซ่อมแซมเรือรวมทั้งรอลมมรสุมเพื่อการเดินทางต่อไป    จากการสำรวจขุดค้น   แหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึกและปลายคลองเหมืองทอ

       นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่  8  เป็นต้นมา  เมืองตะโกลา ได้พัฒนาเป็นเมืองท่าจอดเรือที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด   ทางด้านชายฝั่งทะเลตะวันตก  เป็นที่รู้จักกันดีของบรรดาชาติต่าง ๆ หลายชาติ  เช่น  อินเดีย  จีน  เปอร์เชีย  อาหรับ  รวมทั้งกรีกและโรมันในทวีปยุโรป    ชาติเหล่านี้ได้เข้ามาติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน  และเป็นสถานที่จอดแวะพักเรือเพื่อเติมเสบียงอาหารและซ่อมแซมเรือรวมทั้งรอลมมรสุมเพื่อการเดินทางต่อไป    จากการสำรวจขุดค้น   แหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึกและปลายคลองเหมืองทอง ของกรมศิลปากร  และนักโบราณคดีหลายท่าน    พบหลักฐานสำคัญในท้องที่ที่สามารถอธิบายได้ว่า  เมืองตะโกลา  เป็นเมืองท่าที่อยู่ในเส้นทางการค้าของโลกยุคโบราณ  ที่เชื่อมระบบการค้าของโลกระหว่างดินแดนตะวันตกและดินแดนทางตะวันออกเข้าด้วยกันและถือเป็นเส้นทางสายไหมทางทะเลก็ว่าได้   เช่น  พบภาชนะดินเผาที่เก่าแก่ของจีน สมัยหกราชวงศ์อายุประมาณ พ.ศ. 763     เครื่องแก้วและภาชนะดินเผาของเปอร์เชีย   ลูกปัดชนิดต่าง ๆ หลาบแบบ หลายขนาดและจากหลายแหล่ง    

       นอกจากนั้นยังเป็นเส้นทางลัดข้ามคาบสมุทรติดต่อระหว่างฝั่งทะเลตะวันตกและฝั่งทะเลตะวันออก  เนื่องจากในสมัยโบราณเรือที่อาศัยแรงลมไม่สามารถดินทางอ้อมแหลมมลายูได้  เพราะบริเวณตั้งแต่แลตติจูด  5 องศา  ลงไปนั้นเป็นเขตสงบลม  (Doldrum)    มีการพบหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่สำคัญ ๆ หลายอย่างที่สามารถอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้เส้นทางข้ามคาบสมุทรมลายูตลอดเส้นทางสายนี้   เช่น พระเหนอ (พระนารายณ์) ที่เขาพระเหนอ   ใกล้ปากแม่น้ำตะกั่วป่า  พระนารายณ์และเทพบริวาร  ที่เขาพระนารายณ์ (อยู่ตรงคลองเหลกับคลองรมณีย์พบกัน)  อยู่ในอำเภอกะปง  จังหวัดพังงา   โบราณวัตถุบริเวณบ้านท่าหันเชิงเขาสกในอำเภอกะปง  พระนารายณ์ที่เขาศรีวิชัยในอำเภอไชยา  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  เป็นต้น

       ตะโกลา คงจะมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ช่วงพุทธศตวรรษที่  6 – 8  ระยะหนึ่ง  จากนั้นอาณาจักรฟูนัน ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง  ขยายอำนาจลงมาปกครองคาบสมุทรมลายูไว้ทั้งหมด  จนกระทั่งอาณาจักรฟูนันเสื่อมอำนาจลงในพุทธศตวรรษที่  11   เมืองต่าง ๆ ในบริเวณคาบสมุทรมลายูจึงมีอิสระขึ้นอีก  ปรากฏเมืองและแว่นแคว้นต่าง ๆ   เกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น  ไชยา  ตามพรลิงค์  สะทิงพระ  ปัตตานี  รวมทั้งแคว้นอื่น ๆ ตลอดแหลมมลายู  ลงไปจนถึงหมู่เกาะ  สำหรับเมืองตะโกลาในช่วงนี้  มีกล่าวในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชที่น่าสนใจอยู่  2 ฉบับ  คือฉบับที่พระเสนานุชิตพบที่บ้านทุ่งตึก  อำเภอตะกั่วป่า  จังหวัดพังงา       และฉบับที่พระพิไชยเดชะพบที่วัดเวียงสระ  อำเภอเวียงสระ  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  มีข้อความบางตอนคล้ายคลึงกันว่า   “…ผู้สร้างเมืองตะกั่วป่าเป็นพราหมณ์ชาวอินเดียชื่อ  พระยาศรีธรรมโศกราช  (นามเดิมว่า พราหมณ์มาลี)   มีอนุชาชื่อพราหมณ์มาลา  เป็นที่อุปราช  อพยพลงเรือมาขึ้นที่บ้านทุ่งตึก  เมื่อพุทธศักราช  1006  สร้างเมืองตะกั่วป่าขึ้น  แต่ยังไม่ทันเสร็จ…ก็ถูกข้าศึกรุกรานตีแตก  ต้องอพยพหนีข้ามเขาสก…”     ส่วนประวัติวัดเวียงสระกล่าวไว้คล้ายกัน  แต่จุดมุ่งหมายของคณะพราหมณ์อินเดียกลุ่มนี้มีเป้าหมายตามหาพระบรมธาตุ  ตามที่ระบุไว้ในตำนานลังกา  ความว่า  “…มีชาวอินเดียนำไพร่พลประมาณ  30,000  คน  โดยพราหมณ์โมลีผู้พี่  และพราหมณ์มาลาผู้น้อง  มาพร้อมด้วยอาจารย์  2  ท่านคือ  พระพุทธคัมเภียร และพระพุทธสาคร…มาสู่ตอนใต้ของประเทศไทย    เพื่อค้นหาพระบรมธาตุ  ซึ่งตามคัมภีร์ลังกาบอกว่า  อยู่ที่หาดทรายแก้ว  เดินทางมาขึ้นบกที่ตะโกลา…และได้ล่องลงมาตามลำน้ำตะกั่วป่า    มาตั้งเมืองที่บ้านน้ำรอบ  ริมคลองพุมดวง…