อำเภอตะกั่วป่า ปัจจุบันอำเภอตะกั่วป่าเป็นหนึ่งใน 8 อำเภอของจังหวัดพังงา ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลอันดามัน ห่างจากอำเภอเมืองพังงาไปทางเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 475 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาเตี้ย ๆ สลับซับซ้อน ไม่ค่อยมีที่ราบ แม่น้ำที่สำคัญคือแม่น้ำตะกั่วป่าซึ่งเกิดจากเทือกเขาในอำเภอกะปง ตะกั่วป่าได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีฝนตกชุกเกือบตลอดทั้งปี จึงได้สมญานามว่า “เมืองฝนแปด แดดสี่” อาชีพที่สำคัญคือการเกษตร ปัจจุบันกำลังพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
ตะกั่วป่าเคยเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี เนื่องจากบทบาทของพ่อค้าชาวอินเดียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและพัฒนาเป็นเมืองท่า ศูนย์กลางการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้ากับชนหลายเชื้อชาติ เช่น จีน อินเดีย เปอร์เซีย และกรีก เป็นต้น จนเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นเส้นทางสายไหมทางทะเล หรือเมืองท่าการค้าโบราณ
ถึงแม้ตะกั่วป่าจะเคยเป็นดินแดนที่เคยมีความเจริญรุ่งเรือง มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน มีหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากมาย แต่ยังไม่มีท่านใด ได้สำรวจ ศึกษา ค้นคว้าอย่างจริงจัง จึงทำตะกั่วป่าไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายของชาวโลกเท่าที่ควร วันนี้อาจารย์วิมล โสภารัตน์ ผู้สนใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จะเล่าสู่กันฟังถึงร่องรอย อดีต บางส่วนของตะกั่วป่า หากท่านมีข้อมูลหรือความคิดเห็นประการใดกรุณาติดต่อที่ [email protected] หรือ www.kuapa.com จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
อำเภอตะกั่วป่า ปัจจุบันอำเภอตะกั่วป่าเป็นหนึ่งใน 8 อำเภอของจังหวัดพังงา ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลอันดามัน ห่างจากอำเภอเมืองพังงาไปทางเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 475 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาเตี้ย ๆ สลับซับซ้อน ไม่ค่อยมีที่ราบ แม่น้ำที่สำคัญคือแม่น้ำตะกั่วป่าซึ่งเกิดจากเทือกเขาในอำเภอกะปง ตะกั่วป่าได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีฝนตกชุกเกือบตลอดทั้งปี จึงได้สมญานามว่า “เมืองฝนแปด แดดสี่” อาชีพที่สำคัญคือการเกษตร ปัจจุบันกำลังพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
ตะกั่วป่าเคยเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี เนื่องจากบทบาทของพ่อค้าชาวอินเดียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและพัฒนาเป็นเมืองท่า ศูนย์กลางการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้ากับชนหลายเชื้อชาติ เช่น จีน อินเดีย เปอร์เซีย และกรีก เป็นต้น จนเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นเส้นทางสายไหมทางทะเล หรือเมืองท่าการค้าโบราณ
ถึงแม้ตะกั่วป่าจะเคยเป็นดินแดนที่เคยมีความเจริญรุ่งเรือง มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน มีหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากมาย แต่ยังไม่มีท่านใด ได้สำรวจ ศึกษา ค้นคว้าอย่างจริงจัง จึงทำตะกั่วป่าไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายของชาวโลกเท่าที่ควร วันนี้อาจารย์วิมล โสภารัตน์ ผู้สนใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จะเล่าสู่กันฟังถึงร่องรอย อดีต บางส่วนของตะกั่วป่า หากท่านมีข้อมูลหรือความคิดเห็นประการใดกรุณาติดต่อที่ [email protected] หรือ www.kuapa.com จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
ต้องการจะทราบคำว่า ตะโกลา (takola) และ ตะกั่วป่า ?
ตะโกลา (takola) เป็นคำที่ คลอดิอัส ปโตเลมี (Claudius Ptolemy) นักปราชญ์ชาวกรีกบันทึกไว้ในหนังสือ จดหมายเหตุภูมิศาสตร์ ปโตเลมี เมื่อราว พ.ศ. 693 หรือ 708 ตามคำบอกเล่าของพ่อค้าที่เดินทางมาค้าขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กล่าวถึงชื่อเมืองตะโกลา (takola) ว่าเป็นเมืองท่า ศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า ตั้งอยู่ปากแม่น้ำ เราเข้าใจว่าเมืองท่าที่ ปโตเลมี กล่าวถึง น่าจะเป็นเมืองโบราณที่บ้านทุ่งตึก หมู่ 3 ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ในปัจจุบัน เนื่องจากมีหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ปรากฏอย่างชัดเจน เช่น ซากสถาปัตยกรรม เศษเครื่องปั้นดินเผา ลูกปัด รูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ รวมทั้งบันทึกของชาติต่าง ๆ ที่เข้ามาติดต่อค้าขาย
ในทางประวัติศาสตร์ เชื่อกันว่าตลอดแนวลำแม่น้ำตะกั่วป่า เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณตะกั่วป่า ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณ อย่างน้อยก่อนพุทธศตวรรษที่ 7 ภายใต้อิทธิพลอารยธรรมอินเดียหรือศาสนาพราหมณ์ และใช้เมืองโบราณที่บ้านทุ่งตึก ซึ่งอยู่ปากแม่น้ำตะกั่วป่าเป็นเมืองท่า เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้า ติดต่อค้าขายกับชนชาติต่าง ๆ เช่น จีน อินเดีย เปอร์เซีย กรีก เป็นต้น เมืองตะโกลา ล่มสลายไปในราวพุทธศตวรรษที่ 16 อาจเป็นเพราะถูกพวกทมิฬเข้าโจมตีหรือถูกคลื่นสึนามิพัดถล่มเมืองก็เป็นได้
สำหรับ ตะกั่วป่า เป็นชื่อเรียกชุมชนที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ ในราวพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นชุมชนของคนพื้นเมืองที่เป็นคนไทย เป็นชุมชนขุดหาแร่ดีบุก แล้วพัฒนาเป็นเมืองในเวลาต่อมา ชุมชนลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายแห่งในบริเวณที่มีแร่ดีบุกอุดมสมบูรณ์ เช่น เมืองตะกั่วทุ่ง (ที่ท้ายเหมือง) เมืองถลาง (ที่ อำเภอถลาง ภูเก็ต) การเรียกชื่อชุมชน (เมือง) เหล่านี้ก็เรียกตามชื่อแร่ดีบุกซึ่งคนในท้องถิ่นเรียกว่า ตะกั่ว ซึ่งหมายถึงแร่ดีบุกที่ถลุงแล้ว เช่น ตะกั่วป่า (คือดีบุก) ในป่า ตะกั่วทุ่ง (คือดีบุก) ในท้องทุ่ง ตะกั่วถลาง (คือดีบุก) ที่ถลาง เป็นต้น จึงน่าจะเป็นไปได้ว่าชื่อ ตะกั่วป่า มาจากการเรียกชื่อแร่ดีบุก ที่คนในท้องถิ่นเรียกกัน และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับ “ตะโกลา” แต่อย่างใด
ที่ทุ่งตึก เกาะคอเขา ตะกั่วป่า มีลูกปัดดัง ?
ลูกปัด เป็นเครื่องประดับของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ในยุคแรก ๆ ทำจากเปลือกหอย กระดูกสัตว์ ต่อมาจึงมีการประดิษฐ์จากหินสีและวัสดุอื่น ๆ เช่น แก้ว ทองคำ หลากหลายสีและรูปแบบ เพื่อความสวยงาม
สำหรับลูกปัดในแหล่งโบราณคดีทุ่งตึก เกาะคอขา ตะกั่วป่า จังหวัดพังงานั้น มีมากมายหลายชนิด หลากหลายทั้งสีและรูปแบบ ถือเป็นโบราณวัตถุที่โดเด่นที่สุดของแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ แต่ปัจจุบันลูกปัดเหล่านี้อยู่ในความครอบครองของเอกชนเกือบทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องจาก ในปี 2524เป็นต้นมา ได้มีชาวบ้านในท้องถิ่นและที่มาจากต่างจังหวัด ได้เข้าไปลักลอบขุดหาลูกปัดและของมีค่าอื่น ๆ ยิ่งทำให้ลูกปัดของทุ่งตึกเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้นทั้งในหมู่คนไทยและชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะ “ลูกปัดตาตะกั่วป่า” หรือ “ลูกยอ” ถือว่าเป็นต้นตอของลูกปัดดังระดับโลก ซึ่งขุดพบ ที่ทุ่งตึก มากที่สุด เป็นลูกปัดแก้วสีน้ำเงินหรือเขียวเข้มจนดำมืด ขนาดเส้นผ่าศูนย์ราว 1 ซม. บนผิวมีวงสีขาวซ้อนทับด้วยสีวงในสีน้ำเงิน ทำให้ดูเหมือนมีตาเป็นชั้นตกแต่งไว้ และอีกชนิดหนึ่งคือ “ลูกปัดแก้วลายเส้น” เป็นลูกปัดที่หายากอีกชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นลายเส้นม้วนขดพับพันไปมา เป็นลูกปัดที่สวยหายากและพบเพียงแห่งเดียวที่ทุ่งตึกเท่านั้น
นี่คือความหลากหลายของลูกปัดจากทุ่งตึก เกาะคอเขา ตะกั่วป่า ภาพทั้งหมดได้มาจากหนังสือ “ทุ่งตึก เมืองท่าการค้าโบราณ” ของสำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต
เรื่องราวของพระนารายณ์ ตะกั่วป่า ด้วยครับ ?
พระนารายณ์เป็นมหาเทพ ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ 1 ใน 3 องค์ ที่เรียกรวมกันว่า “ตรีมูรติ” อันประกอบด้วย พระพรหมณ์ พระศิวะหรือพระอิศวร และพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ในนิกายไศวะ เชื่อว่าพระศิวะเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนนิกายไวษณวะ ยกย่องว่าพระนารายณ์เป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพเจ้าทั้งปวง
ในท้องที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เคยเป็นที่ประดิษฐานของเทวรูปพระนารายณ์ถึง 2 องค์คือ
– พระนารายณ์ที่เขาพระเหนอ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “พระเหนอ” เขาพระเหนอหรือควนพระเหนอ อยู่ในหมู่ที่ 7 ตำบลบางนายสี อำเภอตะกั่วป่า เขตต่อกับตำบลบางบ่วง เป็นเขาขนาดเล็กเตี้ยตั้งอยู่ใกล้ปากแม่น้ำตะกั่วป่า ตรงข้ามแหล่งโบราณคดีทุ่งตึก มีลำคลองเล็กแยกจากแม่น้ำตะกั่วป่าเข้าไปเล็กน้อย เข้าถึงได้เฉพาะทางเรือเท่านั้น
พระเหนอเป็นพระนารายณ์แกะสลักจากหิน เป็นประติมากรรมลอยตัว ขนาดใหญ่ สูงราว 202 เซนติเมตร เป็นศิลปปัลลวะ (อินเดียใต้) ผศ.ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ ได้บรรยายลักษณะไว้ว่า มีลักษณะกล้ามเนื้อที่ล่ำสันแบบบุรุษ ปฏิมากรรมชิ้นนี้ แสดงให้เห็นถึงจุดสุดยอดของความสำเร็จในการสร้างสรรค์ทางศิลปะของภาคใต้ในยุคนั้น สร้างขึ้นราว พุทธศตวรรษที่ 12 หรือ 13 อายุไม่ ต่ำกว่า 1,200 ถึง 1,300 ปีมาแล้ว สมัยชุมชนโบราณตะกั่วป่า หรือตะโกลา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จมาทอดพระเนตรพระเหนอ เมื่อวันที่ 23 เมษายน รศ.128 (2452) ได้ทรงบันทึกเกี่ยวกับพระเหนอไว้ว่า “เทวรูปองค์นี้ ทำด้วยศิลาทราย บัดนี้หักเสียเป็นสองท่อน หักเฉพาะที่เอว ถ้าไม่หักคงจะสูงราว 5 ศอก เครื่องสนิมพิมพาภรณ์ไม่วิจิตรเหมือนองค์ที่เขาเวียง แต่ฝีมือทำกล้ามเนื้อดีเหมือนคน เทวรูปนี้ยืนอยู่กลางฐานใหญ่ก่อด้วยอิฐแผ่นใหญ่”
ในปี 2470 สมเด็จกรมพระยาดำรงราฃานุภาพ ให้นำไปเก็บรักษาไว้ที่กรุงเทพ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในปี 2552 ได้มีการขุดค้น – ขุดแต่ง โบราณสถานเขาพระเหนอ ตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งโบราณคดีเขาพระเหนอ
– พระนารายณ์อีกองค์หนึ่ง เป็นกลุ่มเทวรูป ซึ่งประกอบด้วย พระนารายณ์ เป็นประธาน เทพบริวารอีก 2 องค์ คือฤษีมารกัณเฑยะ (ชาวบ้านเรียกว่า พระลักษมณ์) และนางภูเทวี (ชาวบ้านเรียกว่า นางสีดา) รวมทั้งศิลาจารึกเขาพระนารายณ์ (ศิลาจารึกหลักที่ 26) เป็นภาษาทมิฬ เทวรูปกลุ่มนี้เดิมประดิษฐานอยู่บนเขาพระนารายณ์ เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ อยู่ทางตะวันออกของคลองกะปงตรงที่ไหลออกแม่น้ำตะกั่วป่า อยู่ในหมู่ที่ 2 ตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ในปี 2328 คราวศึกเก้าทัพ พม่าได้ขนย้ายเทวรูปทั้ง 3 องค์ลงมา หวังจะเอาไปเมืองพม่า แต่เกิดฝนตกหนัก มีลมพายุ น้ำป่าไหลหลาก พม่าเห็นเรื่องผิดปกติและเกรงกลัวในความศักดิ์สิทธิ์ จึงนำเอาเทวรูปทั้ง 3 องค์ มาวางพิงต้นตะแบกทิ้งไว้ บนฝั่งตรงกันข้ามกับเขาพระนารายณ์ จนกระทั่งต้นตะแบกโตหุ้มองค์เทวรูปจนเกือบมิดองค์ และดินทรายจากแม่น้ำก็ทับถมสูงขึ้นมาทุกปี
ในปี 2509 คนร้ายได้เข้ามาทำลายและขโมยบางส่วนของเทวรูปไป กรมศิลปากรจึงนำเทวรูปที่เหลืออยู่คือพระนารายณ์ และพระลักษณมณ์ไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ปัจจุบันได้ย้ายมาจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง ภูเก็ต ประกอบด้วย พระนารายณ์ พระลักษมณ์และศิลาจารึก สำหรับนางสีดา จัดแสดงอยู่ที่วัดนารายณิการาม อำเภอกะปง
พระนารายณ์ เป็นพระวิษณุปางมัธยมโยคะสถานกมูรติ (ปางบำเพ็ญโยคะ) 4 กร ประทับยืน เป็นประติมากรรมลอยตัว แกะสลักจากหินทรายละเอียด (tuffacous sandstone) ขนาดสูง 235 เซนติเมตร กว้าง 85 เซนติเมตร หนา 25 เซนติเมตร
เทวรูปฤษีมารกัณเฑยะ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พระลักษมณ์ เป็นประติมากรรมลอยตัว ในลักษณะประทับนั่งคุกเข่าขวา ชันเข่าซ้าย ยกพระหัตถ์ซ้ายระดับพระเศียร พระหัตถ์ขวาลดมาทับพระโสณี ทรงสวมกีรีฏมุกุฏทรงสูงสอบเข้าทางด้านบนประดับด้วยลายวงแหวนเหมือนเทวรูปพระนารายณ์ ขนาดสูง 125 เซนติเมตร กว้าง 77 เซนติเมตร หนา 25 เซนติเมตร
เทวรูปนางภูเทวี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า นางสีดา นางภูเทวีทรงเป็นพระชายาองค์หนึ่งของพระวิษณุทรงเป็นเทพีแห่งปฐพีเป็นผู้ดูแลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ เป็นเทวรูปสตรีประทับนั่งคุกเข้าซ้ายชันเข่าขวาในลักษณะท่าทางตรงกันข้ามกับเทวรูปฤษีมารกัณเฑยะ ทรงสวมกรัณฑมุกุฎ เป็นประติมากรรมลอยตัว ขนาดความสูง 115 เซนติเมตร หนา 75 เซนติเมตรชาวบ้านเล่าว่าครั้งหนึ่งช้างป่าตกมันใช้งาแทงที่พระถันด้านซ้ายเทวรูปนางภูเทวีหักไป เป็นเทวรูปใน กลุ่มนี้องค์เดียวที่ยังเก็บรักษาอยู่ท้องที่ อำเภอกะปง ที่วัดนารายณิการาม ตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา
ศิลาจารึกเขาพระนารายณ์ เป็นศิลาจารึกหลักที่ 26 มีขนาดกว้าง 55 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร ทำจากหินดินดาน (shale) สันนิษฐานว่าจารึกในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 – 14 H.W.Bourke เป็นคนแรกที่พบที่เขาพระนารายณ์ ใน พ.ศ. 2445 และพระสารศาสตร์พลขันธ์ (G.E. Gerini) ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ให้ชาวโลกรู้จักเป็นครั้งแรกในปี 2447 ศิลาจารึกหลักนี้จารึกเป็นภาษาทมิฬแบบโบราณจำนวน 6 บรรทัด ศาสตราจารย์ Hultzsch สามารถอ่านจารึกนี้ได้เป็นคนแรก ได้ดังนี้
บรรทัดที่ 1 …รวรฺมนฺ กุ (ณ)…
บรรทัดที่ 2 (มา) า นฺ ตานฺ นงฺคูร ไฑ…
บรรทัดที่ 3 (ตฺ) โตฏฺฏ กุฬมฺ เปรฺ ศฺรี (อวนิ)
บรรทัดที่ 4 นารณมฺ มณิกฺ กิรามตฺ ตารฺ (ก)
บรรทัดที่ 5 (กุ) มฺ เศณามุคตฺตารฺกฺกุมฺ
บรรทัดที่ 6 (มุฬุ) ทารฺกฺกุมฺ อไฑกฺ กลมฺ
แปลความว่า “สระชื่อ ศรี (อวนิ) นารณัม ซึ่ง…….รวรรมัน ศุ (ณ) ….
(ม) าน ได้ขุดเองใกล้ (เมือง) นังคูร อยู่ในการรักษาของ
สมาชิกแห่งเมืองมณิคราม และของกองหน้ากับชาวไร่ชาวนา”
ศิลาจารึกเขาพระนารายณ์ (จารึกหลักที่ 26)
จากข้อความในศิลาจารึกพอสรุปได้ว่า มีเจ้าเมืองคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวทมิฬฮินดูแห่งโจฬะอินเดียใต้ ได้มาตั้งเมืองห่งหนึ่งขึ้น ณ บริเวณเมืองตะกั่วป่าบัดนี้ ชื่อเมือง “นังคูร” ได้โปรดให้ขุดสระน้ำประจำเทวสถานขึ้น เพื่อใช้ในพิธีพราหมณ์ตามธรรมเนียม และให้อยู่ในความดูแลรักษาของบรรดาเหล่าทหาร และราชวงศ์เครือญาติชาวทมิฬ ฮินดู ตลอดจนชาวนาชาวไร่ทั่วไปที่ตั้งชุมชนอยู่เหล่านั้นเอง
โบราณวัตถุกลุ่มนี้ทั้งหมด กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478
โดย อาจารย์ วิมล โสภารัตน์