อำเภอตลาดใหญ่ 

                                                                               เมืองตะกั่วป่า

                          วันที่  ๒๑  เมษายน  รัตนโกสินทร์ศก  ๑๒๘ 

          เมื่อคืนนั้นนอนในเรือเย็นสบายดีพอใช้  แต่การนอนในเรือเสียที่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้านัก  เมื่อเช้านี้ดูเหมือนพอรุ่งผมก็ต้องตื่น  นอกจากคนหนูหนวกเห็นจะทนนอนอยู่ไม่ได้  ดูเหมือนพอแดดขึ้นคนสักสามร้อยคนก็ตื่นลุกขึ้นเดินกันเล่น  เสียงคึกคัก ๆ พิลึก  แต่การที่ต้องตื่นเช้าเช่นนั้น  ก็ไม่สู้จะเป็นที่เดือดร้อนอะไรนัก อย่างไร ๆ ก็ต้องตื่นอยู่แล้ว  เพราะการที่จะเสด็จขึ้นมาประพาสที่ตำบลตลาดใหญ่นี้ ต้องเลือกเวลาที่น้ำขึ้นเรือจึงจะขึ้นมาถึงได้


 

 อำเภอตลาดใหญ่ 

                                                                               เมืองตะกั่วป่า

                          วันที่  ๒๑  เมษายน  รัตนโกสินทร์ศก  ๑๒๘ 

          เมื่อคืนนั้นนอนในเรือเย็นสบายดีพอใช้  แต่การนอนในเรือเสียที่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้านัก  เมื่อเช้านี้ดูเหมือนพอรุ่งผมก็ต้องตื่น  นอกจากคนหนูหนวกเห็นจะทนนอนอยู่ไม่ได้  ดูเหมือนพอแดดขึ้นคนสักสามร้อยคนก็ตื่นลุกขึ้นเดินกันเล่น  เสียงคึกคัก ๆ พิลึก  แต่การที่ต้องตื่นเช้าเช่นนั้น  ก็ไม่สู้จะเป็นที่เดือดร้อนอะไรนัก อย่างไร ๆ ก็ต้องตื่นอยู่แล้ว  เพราะการที่จะเสด็จขึ้นมาประพาสที่ตำบลตลาดใหญ่นี้ ต้องเลือกเวลาที่น้ำขึ้นเรือจึงจะขึ้นมาถึงได้

          เวลาเช้าจวน ๔ โมง  เสด็จลงเรือดำรงรัฐจากเรือถลาง  แล่นขึ้นมาตามลำน้ำ  มาในระหว่างเกาะ  ซึ่งมีเรียงรายอยู่ทั้งสองข้าง  ผมได้ยินเจ้าคุณเทศาท่านว่ามีดีบุกแทบทุกเกาะแต่ไม่มีใครได้ร่อนเพราะไม่คุ้มโสหุ้ยที่จะต้องเสีย  เรือเดินมาได้ประมาณชั่วโมงครึ่ง  ถึงที่ลำน้ำแคบและตื้นต้องเปลี่ยนเรือ  เสด็จลงเรือมาดแจว  คนอื่น ๆ ก็ลงเรือเล็ก  พ่วงท้ายเรือกลไฟเล็กซึ่งมาจากเมืองระนอง  พอมาได้สักหน่อยถึงตำบลย่านยาว  ลำน้ำย่านนี้ตรงไปยาวกว่าแห่งอื่น  มีเรือมาดราษฎรพายออกไปรับเสด็จ  คนพายแต่งกายประดับประดาหรู  มีฆ้องตีทุก ๆ ลำเป็นจังหวะพาย  คนพายได้โห่รับเสด็จและพายแซงเรือที่นั่งมา  จนถึงวังบราแก้เชือกเรือพระที่นั่งจากเรือกลไฟ   เรือพายเข้าโยงแทน  โยงทั้งเรือพระที่นั่งและเรือที่ตามเสด็จ  พายพร้อม ๆ กัน  ร้องเพลงพลางช่างน่าสนุกจริง ๆ   เรือแล่นฉิวเท่า ๆ กับพ่วงเรือไฟ  ลำน้ำตั้งแต่วังบราขึ้นมาเรือไฟเล็กก็มาไม่ได้เพราะเป็นหาดทั้งนั้น  ถ้าเวลาน้ำลงแม้เรือพายก็เดินไม่ได้  เพราะเหตุนี้เมืองจึงต้องเลื่อนลงไปตั้งต่ำลงไปอีกมาก

          เวลาราวบ่ายโมงถึงท่าเสด็จขึ้นทรงพระเก้าอี้หามขึ้นมาพลับพลาทางประมาณ  ๒๐ เส้น  ขึ้นจากท่าผ่านไปริมกำแพงบ้านพระยาตะกั่วป่าเก่าซึ่งชำรุดทรุดโทรมหมดแล้ว  ทางข้างซ้ายถนนที่ดินยังเป็นที่ลุ่มแลเห็นได้ว่าเป็นลำน้ำเก่า  มีหม้อเรือไฟของพระยาตะกั่วป่าทิ้งอยู่หม้อหนึ่ง  ซึ่งเป็นพยานปรากฏอยู่ว่าแม่น้ำได้เคยขึ้นมาถึงตรงนั้น  ทำให้เห็นได้ว่าการทำลายเขาทำเหมืองขุดดีบุกเป็นอันตรายแก่ลำน้ำมาก  พ้นบ้านพระยาตะกั่วป่าไปถึงตลาด  มีตึกแถวอย่างจีนอยู่สองข้างถนน  ตึกเหล่านี้เวลานี้อยู่ข้างจะชำรุดทรุดโทรมมาก  ต่อตลาดไปก็มีบ้านเรือนตลอดมา  จนถึงเชิงเขาที่ตั้งพลับพลา  พลับพลาตั้งอยู่บนยอดเขา  เป็นที่สบายดี มีลมเย็น  ต้นไม้ร่มรื่นจำเริญตา  ส่วนพลับพลาก็ทำเครื่องไม้อย่างแข็งแรง ฝาบัดนี้เป็นแผง  แต่ต่อไปพระเสนานุชิตจะเปลี่ยนฝาและรักษาไว้เป็นเรือนที่พักต่อไป  น้ำใช้ที่นี่อยู่ข้างจะบริบูรณ์และเป็นน้ำดีจืดสนิท  พระเสนานุชิตได้จัดการทำท่อไม้ไผ่ไขน้ำมาจากเขาอีกลูกหนึ่งข้ามมาใช้ที่เขาพลับพลานี้

          ที่ตลาดใหญ่นี้รู้สึกว่าเป็นเมืองมากกว่าที่เมืองใหม่  ซึ่งได้ขึ้นไปดูเมื่อคืนนี้  ที่นี่ตึกกว้านบ้านช่องก็มีมากกว่า    ผู้คนก็ดูแน่นหนา   ที่เมืองใหม่นั้นช่างดูสมชื่อจริง ๆ คือมีตะกั่ว (ดีบุก) ทั่วไปทั้งเกาะ และส่วนป่าก็เห็นอยู่มากกว่าบ้าน  เมื่อคืนนี้เวลาที่ประทับอยู่จวนผู้ราชการได้ยินเสียงกวางร้องอยู่ในป่า  ได้ยินถนัดทีเดียวจึงเข้าใจได้ว่าป่าอยู่ใกล้มาก  สมควรแล้วที่จะเรียกว่าเมืองตะกั่วป่า

          วันนี้ไม่ได้เสด็จแห่งใด  ก็ดีเพราะฝนตกและฟ้าร้องครืน ๆ อยู่  หมู่นี้อยู่ข้างจะร้อนอ้าวมาหลายเวลาแล้ว  ใต้เท้ากรุณากล่าวขึ้นว่าฝนคงจะตกเป็นแน่ ทูลกระหม่อม รับสั่งว่าถ้าฝนไม่ตกจริง  จะต้องให้ใต้เท้ากรุณาขี่สิงโต   (คือการลงโทษตามแบบลงโทษโหรที่ทำนายผิด)  แต่ใต้เท้ากรุณาทูลขอผัดเรื่อย ๆ มาจนบ่ายวันนี้ฝนตกมากหน่อย  ท่านก็เลยกราบบังคมทูลขอให้นับว่าเอาเป็นทำนายถูกแล้ว  ขอให้พ้นการที่จะต้องขี่สิงโต  ก็ทรงตกลงยอมตามคำท่านกราบทูลขอ

          การมหรสพที่นี่อยู่ข้างจะบริบูรณ์กว่าทุก ๆ แห่งที่มีมาแล้ว  มีมโนราห์ ๔ โรง  หนัง ๔ โรง  เพราะฉะนั้นผมไม่จำจะต้องบอกว่าอยู่ข้างจะกึกก้องโกลาหลอยู่บ้าง  การที่มีมหรสพมากเช่นนี้เป็นพยานอยู่ว่าเมืองตะกั่วป่าเก่านี้เป็นเมืองที่มีความจำเริญ (สิวิไลซ์) พอใช้

          พูดถึงความจำเริญผมลืมเล่าไปในจดหมายฉบับก่อนว่าเมืองระนองนั้นอยู่ข้างจะ “สิวิไลซ์” พอใช้อยู่ มีสิ่งซึ่งเป็นพยานอยู่คือที่ตลาดมี “สาวสวรรค์กัลยาเป็นเข้าบาทบำเรอปวงเทวราชทุกราศี” (คำกลอนผมแก้เอง)  ผ่านไปทางตลาดได้เห็น “นวลละออผ่องพักตร์ลักขณา ดังจันทราทรงกลดหมดมลทิน”  (ที่ว่าหมดมลทินนั้น กลอนพาไปขออย่าได้ถือว่าเป็นความจริง)  นี่จะไม่นับว่าเมืองระนองสิวิไลซ์หรือ  แต่ยังไม่สิวิไลซ์เท่ากรุงเทพฯ  วิมานสาวสวรรค์ยังไม่มีประทีปมรกตแขวนข้างหน้า  หรือนี่จะเป็นพยานว่าสิวิไลซ์กว่ากรุงเทพฯกระมัง  ที่ตลาดใหญ่นี้บางทีจะมีวิมานสาวสวรรค์บ้างแต่วันนี้ผมยังไม่มีโอกาสสืบ  ในการเช่นนี้คิดถึงคุณหลวงไชยประสิทธิ์จริง ๆ ถ้าท่านได้ตามเสด็จมาด้วย  ท่านคงจะเป็นธุระสืบสวนเรื่องนี้อย่างแข็งแรงเป็นแน่


                    วันที่  ๒๒  เมษายน  รัตนโกสินทร์ศก  ๑๒๘

 

          เมื่อคืนนี้ผมนอนสบายพอใช้  ฝนตกลงมาแล้ว  ตอนกลางคืนมีลมพัดเย็นเรื่อย  นอนคลุมผ้าบาง ๆ ผืนหนึ่งพอสบายช่างผิดกับที่เมืองใหม่เสียจริง ๆ วันนี้เช้าผมตื่นขึ้นยังรู้สึกเย็นสบายดีอยู่อีก

          เวลาเช้า ๓ โมงเศษเสด็จออกจากพลับพลาโดยกระบวนเก้าอี้หาม เก้าอี้ทรงผูกแปด  คนหามสวมกางเกงผ้าขาวเสื้อผ้าแดง  หมวกกุเล้ยจีนมีใบไม้ใบหญ้าประดับหรูหราเก้าอี้ของข้าราชการผูกสี่คนหามแต่งตามชอบใจ  พวกที่หามเก้าอี้นั้นนอกจากเป็นคนไทย ๆ มีที่เป็นจีนก็มี เป็นแขกก็มี แต่พวกจีนพวกแขกเหล่านี้ชอบกล  จีนพูดไทยดีกว่าภาษาจีน  และแขกพูดมลายูไม่เป็น  ใต้เท้ากรุณาท่านเล่าว่าเมื่อคืนนี้มีแขกคนหนึ่งไปจุดโคมไฟที่เรือนที่พักของท่าน  ได้ความว่าชื่อแขกอาจ  พูดภาษามลายูไม่เป็นสักคำเดียว  ผมทราบว่าในมณฑลนี้มีแขกชนิดแขกอาจนี้มาก  คือที่จริงตัวก็เป็นไทยแท้ ๆ แต่ไปชอบใจลูกสาวแขก ถ้าไม่แปลงไปถือตามเขา ๆ ก็ไม่ยกลูกสาวให้ จึงต้องเลยเป็นแขกตามเขาไป  เพราะฉะนั้น  เจ๊ะเขียว   เจ๊ะแดง  เจ๊ะขาว  เจ๊ะดำ อะไรต่าง ๆ จึงเกิดมีมากขึ้น  การชักชวนคนให้เข้าถือศาสนาด้วยวิธีนี้ก็ดีอยู่บ้าง  เพราะฉะนั้นพวกคริสตังตามเมียไปเช่นนี้ก็มีมิใช่น้อย  การตกปลาหรือดักหนูถ้าจะให้ติดแน่ก็ต้องใช้เหยื่อที่ปลาหรือหนูนั้นชอบฉันใด  การตกเบ็ดผู้ชายก็ต้องใช้ผู้หญิงเป็นเหยื่อฉันนั้น  ข้อนี้ไม่ใช่พึ่งมารู้กันขึ้นในเร็ว ๆ นี้  ก็รู้กันและใช้วิธีนี้กันมาแต่ไหน ๆ และไม่ใคร่จะมีเสียการเลย  ถ้าการใดผู้ชายจะจัดไปให้ตลอดไม่ได้คงต้องอาศัยอาศัยผู้หญิงช่วยทั้งนั้น

          นี่ผมก็พูดเพ้อเจ้อนอกเรื่องมามากแล้ว  ต้องจับเรื่องต่อไปอีกที  ออกจากที่พลับพลาประทับแรมเดินลงไปทางตลาดแต่หาตรงลงไปอย่างไปท่าน้ำไม่ เลี้ยวไปเสียทางขวา  เดินไปทางตะวันออกเรื่อย  พอพ้นตลาดก็หมดถนนมีแต่ทางตัดไปตามในป่าละเมาะและทุ่ง เป็นทางงามดี  แต่แดดอยู่ข้างจะร้อนข้ามคลองหลายแห่ง  แต่ล้วนตันเสียเพราะทรายเหมืองไหลลงมาเต็มเสียหมด  การทลายเขาลงมาเพื่อทำเหมืองขุดแร่นี้ทำให้เสียประโยชน์มาก  ตามริมน้ำตะกั่วป่าเดิมเคยมีบ้านคนอยู่ราย ๆ ไป  และทราบว่าทำไร่ทำนาทำสวนได้ดี  บัดนี้ทรายไหลลงมาถมคลองตัดทางน้ำเดินเสียหมด  แล้วยังไหลไปท่วมที่นาที่สวนทำการเพาะปลูกไม่ได้  เพราะฉะนั้นราษฏรต้องยกบ้านหนีไปแห่งอื่นเสียมาก  ราษฏรในเมืองตะกั่วป่านี้ผมทราบว่าพากันไปรับจ้างทำเหมืองเสียหมดไม่ใคร่จะทำนาทำไร่  ได้เงินมาก็ซื้อกิน  แต่ไม่หยุดอยู่เพียงซื้อกิน  ซื้อยาฝิ่นสูบด้วย  ข้อนี้เป็นการไม่ดีอย่างยิ่ง  การทำเหมืองนั้นเองเล่าก็ไม่เป็นทางหากินที่ยั่งยืน  พอเหมืองที่ตนทำนั้นหมดแร่ก็ลงคว้าง  ไม่มีอะไรทำและเมื่อไม่มีอะไรทำก็ต้องอดเท่านั้น  ถ้าไม่ยากอดก็ต้องคิดทำการหากินโดยทางไม่ชอบธรรมต่าง ๆ ผมทราบว่าเจ้าคุณเทศากำลังคิดจะแก้ไขเรื่องนี้  คือจะคิดจัดการให้ราษฏรกลับทำไร่ทำนาอีก  หวังใจว่าจะสำเร็จได้ตามความคิดของท่าน

          ตามระยะทางที่ไปวันนี้ได้ผ่านหมู่บ้านไปหลายหมู่  พอถึงบ้านพวกหามได้หยุดพักกินน้ำบ้าง  ผมช่างนึกโล่งแทนจริง ๆ เดินไปร้อนเหงื่อโชก ๆ แต่ผมที่นั่งไปบนเก้าอี้ยังร้อนพอแรงการทางก็มิใช่ใกล้  จากพลับพลาที่ประทับแรมนี้ไปถึงพลับพลาประทับร้อนที่เขาเวียงระยะทางถึง ๒๖๗ เส้น  ที่ประทับร้อนนี้อยู่ในแขวงอำเภอกะปง  นายอำเภอได้ทำพลับพลารับเสด็จเข้าแบบโรงนาอีก  เย็นสบายดี  มีผู้คนมาคอยเฝ้ารับเสด็จอยู่มาก  กำนันคนหนึ่งกับผู้ใหญ่บ้านอีก ๒ คน ได้จัดเครื่องถวายอยู่ข้างจะเก่ง  กำนันผู้ใหญ่บ้านจัดเครื่องถวายไม่ใคร่จะเคยพบและพวกที่ตามเสด็จออกจะพากันหาร ๆ แต่ครั้นไปถึงที่แล้วก็มีเครื่องเลี้ยงจริง  แต่ว่าใครจะได้อุดหนุนบ้างหรือไม่ผมไม่ทราบ  กำนันและผู้ใหญ่บ้านที่จัดเครื่องนั้น ท่านเจ้าเมืองได้นำเฝ้า  เป็นจีนทั้ง ๓ คน  ท่าทางดูก็ดี


เขาพระนารายณ์  (เขาเวียงในจดหมายเหตุ)

ฐานที่ตั้งองค์พระนารายณ์และเทพบริวารบนเขาพระนารายณ์  (หลังขุดแต่ง ปี 2552)

           สิ่งที่สำคัญที่เสด็จไปทอดพระเนตรวันนี้ คือพระนารายณ์เทวรูป ซึ่งตั้งอยู่บนเนินที่ทำพลับพลาประทับร้อน  เทวรูปมีอยู่  3 องค์  เป็นรูปพระนารายณ์ตั้งอยู่กลาง  ข้างขวามือมีเป็นรูปเทพธิดานั่ง  ซึ่งบางทีจะเป็นพระลักษมีข้างซ้ายมือมีอีรูปหนึ่ง  แปลไม่ออกว่าเป็นรูปพระเป็นองค์เจ้าใด  เทวรูปทั้ง 3 นี้ทำด้วยศิลา  สลักเครื่องทรงดูเป็นอย่างแบบข้างอินเดียแท้  จึงเข้าใจว่าคงจะเป็นนายช่างข้างฝ่ายมัชฌิมประเทศเป็นผู้ทำ  หรืออย่างน้อยก็เป็นผู้ให้อย่าง  เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่าชาวมัชฌิมประเทศได้ออกมาตั้งเป็นคณะอยู่ที่นี้  จะสืบเอาเรื่องราวก็ไม่ได้กี่มากน้อย  คงได้ความแต่ว่าเทวรูปนี้เดิมอยู่บนเขาเวียง  บนนั้นยังมีฐานก่อด้วยอิฐปรากฏอยู่  ครั้นพม่ามาตีเมืองไทยได้ลงมาที่เขาเวียง  ยกเทวรูปลงมาได้ถึงที่เนินนี้  ตั้งใจจะนำลงไปทางแม่น้ำ   เผอิญเกิดฝนตกลงมาเป็นห่าใหญ่  พม่าจึงต้องทิ้งเทวรูปไว้  หนีเอาตัวรอด  และโดยเหตุที่พม่าได้ให้หลังที่ตรงนี้  จึงได้เรียกนามตำบลว่าหลังพม่าต่อมา  รูปพระนารายณ์ในเวลานี้ต้นตะแบกได้ขึ้นหุ้มห่อไว้เสียหน่อยหนึ่ง  ชะรอยจะมีผู้พิงทิ้งไว้กับต้นตะแบกตั้งแต่ยังอ่อน ๆ  ครั้นต้นไม้นั้นโตขึ้นจึงเลยขึ้นหุ้มเทวรูป  น่าเสียดายที่สืบข้อความสาวขึ้นไปได้สั้นนัก   ที่ริมรูปนั้นมีศิลาแผ่นหนึ่งมีตัวอักษรจารึก  แต่อ่านไม่ออกว่าเป็นหนังสืออะไร  ไม่ใช่หนังสือไทย  และไม่ใช่หนังสืออย่างที่จารึกคาถาเยธัมมาที่พระปฐมเจดีย์  ศิลาแผ่นนี้ราษฎรถือกันว่าถ้ายกฝนเป็นต้องตก  วันนี้คงจะมีใครยกเป็นแน่ เพราะพอเสด็จถึงพลับพลาสักครู่หนึ่งฝนก็ตก  อยู่ข้างจะศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง  แต่เพราะไม่มีใครได้พยายามจะยกพระนารายณ์ไป  ฝนจึงไม่ตกจนน้ำท่วมอย่างครั้งพม่ายก

 

  

เทวรูปที่พม่าพิงไว้ที่ต้นตะแบกฝั่งตรงข้ามเขาพระนารายณ์

         ขากลับเสด็จทางเรือ  ทรงเรือมาดถ่อล่องตามลำน้ำตะกั่วป่า  โดยมากน้ำตื้น ๆ แต่มีบางแห่งเป็นวัง  พวกคนถ่อกล่าวว่ามีจระเข้  แต่ก็หาได้มีใครเห็นไม่  เห็นแต่จระเข้นานั้นและมาก  เสด็จถึงท่าแล้วทรงพระเก้าอี้หามขึ้นมาที่พลับพลาประทับอยู่ที่นี้อีกคืนหนึ่ง

 

 

download pdf

จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.๖ ตอนที่ 1